News Update
Home / LIFESTYLE / HEALTH&BEAUTY / “มิโด” (MIDO) แนะนำความงดงามเหนือกาลเวลา จากเรือนเวลาหรู! 5 เรือน 5 สไตล์ ที่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญให้ตัวเองและคนพิเศษในโอกาสสำคัญ พร้อมเผยเคล็ดลับการเลือกนาฬิกาให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของแต่ละบุคคล

“มิโด” (MIDO) แนะนำความงดงามเหนือกาลเวลา จากเรือนเวลาหรู! 5 เรือน 5 สไตล์ ที่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญให้ตัวเองและคนพิเศษในโอกาสสำคัญ พร้อมเผยเคล็ดลับการเลือกนาฬิกาให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของแต่ละบุคคล

แบรนด์แอมบาสเดอร์หนุ่มคิมซูฮยอน (1)

“มิโด” (MIDO) แนะนำความงดงามเหนือกาลเวลา จากเรือนเวลาหรู! 5 เรือน 5 สไตล์

ที่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญให้ตัวเองและคนพิเศษในโอกาสสำคัญ

พร้อมเผยเคล็ดลับการเลือกนาฬิกาให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของแต่ละบุคคล

แบรนด์แอมบาสเดอร์หนุ่มคิมซูฮยอน (2)

ในช่วงที่เทศกาลสำคัญกำลังจะเดินทางมาถึง หลายคนคงกำลังมองหาของขวัญสักชิ้นสำหรับเป็นรางวัลให้ตัวเองหรือมอบให้คนพิเศษในโอกาสสำคัญ ล่าสุดแบรนด์นาฬิกาหรูตามแบบฉบับ Swiss made อย่าง “มิโด” (MIDO) ได้เผยโฉมเรือนเวลาหรู 5 เรือน 5 สไตล์ ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมแนะนำเคล็ดลับการเลือกนาฬิกาสำหรับเป็นของขวัญให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของแต่ละบุคคล

“มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (Georges Schaeren) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.Schaeren & Co. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน

Commander Chronograph Special Edition (3)

สำหรับเรือนเวลาหรู! 5 เรือน 5 สไตล์ นั้นประกอบไปด้วย คอมมานเดอร์ กราเดียนท์ เดนิม บลู (Commander Gradient Denim Blue) จากตระกูลคอมมานเดอร์ (Commander) หนึ่งในซีรีส์ยอดนิยมตลอดกาลของ “มิโด” (MIDO) ที่ได้การยอมรับจากเหล่าคนรักนาฬิกามาอย่างยาวนาน ซึ่งสำหรับ คอมมานเดอร์ กราเดียนท์ เดนิม บลู (Commander Gradient Denim Blue) เป็นนาฬิกาที่ผสมผสานระหว่างความหรูหรา คลาสสิก และความสปอร์ตเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลทรงกลม พร้อมแต่งพื้นผิวแบบขัดด้านสลับขัดมันที่บริเวณขอบเรือนเวลา ครอบด้วยแผ่นหน้าปัดอะคริลิคโปร่งแสงที่เผยให้เห็นถึงสีสันสโมคกี้บริเวณหน้าปัดในโทนสีน้ำเงินไล่เฉด และการทำงานของชุดจักรกลที่อยู่ภายใน ส่วนเข็มและหลักชั่วโมงถูกนำเสนอมาในสีเงินเพื่อให้รับกับเฉดสีของหน้าปัด พร้อมเคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova) สีขาว โดยตัวเรือนขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติคาลิเบอร์ 80 ที่สามารถสำรองพลังงานได้ 80 ชั่วโมง และสามารถดำน้ำลึกได้ในระดับ 50 เมตร ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นเรือนเวลาสำหรับหนุ่มที่ชื่นชอบในความหรูหราที่แฝงกลิ่นอายของความสปอร์ตเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

Commander Chronograph Special Edition (5)

ถัดมาที่ คอมมานเดอร์ โครโนกราฟ สเปเชียล เอดิชั่น (Commander Chronograph Special Edition) เรือนเวลาสำหรับหนุ่มๆ ที่ชอบสไตล์คลาสสิกเหนือกาลเวลา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจการดีไซน์ตัวเรือนมาจากหอไอเฟล ด้วยขอบตัวเรือนที่มีความบางเป็นพิเศษ พร้อมหน้าปัดทรงกลมที่สะท้อนส่วนโค้งของสถาปัตยกรรมชิ้นเอกได้เป็นอย่างดี บนตัวเรือนสแตนเลสสตีลสีโรสโกลด์ โดดเด่นด้วยสีของหน้าปัดที่เป็นการไล่สีจากสีเทาแบบแอนทราไซต์ (Anthracite) อันโฉบเฉี่ยว ครอบด้วยกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ที่เจียระไนให้เป็นสันเหลี่ยมเพื่อเพิ่มมิติให้กับตัวเรือนจับคู่กับสายหนังจระเข้สีน้ำตาลหรือสายผ้าสีเทาที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติคาลิเบอร์ 60 ที่สามารถสำรองพลังงานได้ 60 ชั่วโมง โดยสามารถดำน้ำลึกได้ในระดับ 50 เมตรพร้อมเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova) สีขาว ไว้บริเวณหลักชั่วโมงและเข็มนาฬิกา เพื่อช่วยในการอ่านค่าเวลาได้ง่ายขึ้นในที่แสงน้อย

Ocean Star Inspired By Architecture (4) Ocean Star Inspired By Architecture (6)

ต่อมาที่นาฬิกาจากคอลเลกชั่นทเวนตี้ เยียร์ส อินสไปร์ บาย อาคิเทคเจอร์ (20 Years Inspired by Architecture) กับเรือนเวลาดีไซน์สปอร์ต โอเชี่ยน สตาร์ อินสไปร์ บาย อาคิเทคเจอร์ (Ocean Star Inspired By Architecture) ที่ได้แรงบันดาลใจการออกแบบมาจากความงดงามของประภาคารยูโรปาพ้อยท์ (Europa Point) โดยทีมดีไซน์ได้หยิบยกนำคุณสมบัติด้านความทนทานและความปลอดภัยของประภาคารที่เปรียบเสมือนแสงนำทางของผู้คนในท้องทะเลมาถ่ายทอดบนเรือนเวลาที่มีดีไซน์อันโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บนตัวเรือนทรงกลมที่เพิ่มความโดดเด่นให้หน้าปัดสีฟ้าด้วยขอบเบเซิล (Bezel) ครอบด้วยกระจกแซฟไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อน โดยตำแหน่ง 12 นาฬิกา ถูกออกแบบให้เป็นรูปทรงประภาคารสีขาวสลับสีแดง ซึ่งทีมดีไซน์ยังได้สลักรูปประภาคารยูโรปาพ้อยท์ (Europa Point) ไว้บริเวณฝาหลังอีกด้วย พร้อมกันนี้ยังเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova) สีขาวบนเข็มนาฬิกากับหลักเวลาบนหน้าปัด และสีส้มในส่วนปลายของเข็มวินาที ซึ่งเป็นสีที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ส่วนกลไกตัวเรือนขับเคลื่อนด้วยระบบคาลิเบอร์ 80 ซึ่งเป็นกลไกสมัยใหม่ที่ถูกพัฒนาให้มีพลังงานสำรองสูงสุดถึง 80 ชั่วโมง

Ocean Star 200c Titanium (3) Ocean Star 200c Titanium (5)

เรือนต่อมา โอเชี่ยน สตาร์ 200ซี ไทเทเนียม (Ocean Star 200c Titanium) นาฬิกาจากตระกูลโอเชี่ยน สตาร์ (Ocean Star) เรือนเวลาที่สะท้อนให้เห็นถึงดีไซน์อันแข็งแกร่งของ “มิโด” (MIDO) ที่ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบจากโลกแห่งการดำน้ำ โดยหยิบยกลวดลายอันเป็นเอกลัษณ์อย่างลายเส้นรูปทรงคลื่นมาดัดแปลงผสมผสานให้เข้ากับหน้าปัดสีดำบนตัวเรือนไทเทเนียมที่ทนทานต่อการกัดกร่อนจากน้ำทะเลและเหงื่อได้ดี โดยมาพร้อมฟังก์ชั่นของนาฬิกาดำน้ำประสิทธิภาพสูงพิเศษด้านความแม่นยำและเที่ยงตรง ที่สามารถดำน้ำลึกได้ในระดับ 200 เมตร พร้อมเคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova) สีขาว ที่ช่วยให้อ่านค่าเวลาได้ง่ายในที่แสงน้อย ส่วนกระจกหน้าปัดทำจากคริสตัลแซฟไฟร์เคลือบสารตัดแสงสะท้อนทั้งสองด้าน และฝาหลังถูกสลักเป็นรูปปลาดาว พร้อมขับเคลื่อนด้วยกลไกคาลิเบอร์ 80 ที่สามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 80 ชั่วโมง ซึ่งทนทานในทุกสภาพแวดล้อม

Multifort Skeleton Vertigo (3) Multifort Skeleton Vertigo (4)

ปิดท้ายที่ มัลติฟอร์ต สเกเลตัน เวอร์ติโก้ (Multifort Skeleton Vertigo) เรือนเวลาจากตระกูลมัลติฟอร์ต (Multifort) โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตที่ชวนให้หลงใหลด้วยหน้าปัดและฝาหลังแบบเปลือย สามารถมองเห็นการทำงานของกลไกอัตโนมัติคาลิเบอร์ 80 ที่อยู่ด้านใน ด้วยรายละเอียดการดีไซน์สุดประณีตบรรจง พร้อมลวดลายแนวตั้งบนหน้าปัดที่ได้แรงบันดาลใจจากเส้นสายเคเบิ้ลอันแข็งแกร่งของสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ (Sydney Harbour Bridge)  ผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยลวดลายเจนีวา สไตรป์ (Geneva Stripes) พร้อมเทคนิคการทำสีแบบแอนทราไซต์ (Anthracite) เพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่ทันสมัย โดยตัวเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีถูกเคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova) สีขาว พร้อมกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ที่ช่วยป้องกันแสงสะท้อนบนหน้าปัดทั้งสองด้าน โดยฝาหลังได้สลักโลโก้ ‘MIDO’ ไว้อย่างชัดเจน เรียบโก้ด้วยสายรัดสแตนเลสสตีล และตัวล็อคแบบบานพับที่ทำจากเหล็กเคลือบซาติน อีกทั้งยังสามารถสำรองพลังงานยาวนานถึง 80 ชั่วโมง พร้อมดีไซน์ที่คลาสสิกเหนือกาลเวลา สามารถสวมใส่ได้ทุกยุคสมัย และฟังก์ชั่นการใช้งานก็ต้องตอบโจทย์ได้อย่างครบครัน

Ocean Star 200c Titanium (6)

นอกจากนี้ “มิโด” (MIDO) ยังได้แนะนำเคล็ดลับการเลือกนาฬิกาให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของแต่ละบุคคลอีกด้วย เริ่มจาก หนุ่มนักธุรกิจ หรือหนุ่มออฟฟิศที่ชื่นชอบความคล่องตัวและมีไลฟ์สไตล์อันโฉบเฉี่ยว นาฬิกาดีไซน์โมเดิร์นที่สะท้อนความคลาสสิกและความทันสมัยได้ในเรือนเดียวกัน นับเป็นไอเทมที่สามารถเติมเต็มความสมบูรณ์แบบได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเลือกเป็นนาฬิกาทรงกลมสายสแตนเลสสตีลที่มีความบาง โดดเด่นด้วยหน้าปัดแบบเปลือย (Skeleton) ที่โชว์ให้เห็นถึงวงจรการทำงานด้วยใน หรือเรือนที่มีการเล่นเฉดสีบริเวณหน้าปัด ซึ่งงานดีไซน์เหล่านี้จะสามารถนำเสนอให้เห็นถึงความโมเดิร์นได้เป็นอย่างดี ต่อมาที่ หนุ่มนักกิจกรรม แน่นอนว่าฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นจึงควรเลือกนาฬิกาที่วัสดุมีความแข็งแรงและทนทานได้ในทุกสภาพแวดล้อม สามารถสำรองพลังงานได้อย่างน้อย 80 ชั่วโมง และสามารถอ่านค่าเวลาได้แม้ในที่แสงน้อย สำหรับงานดีไซน์หากเป็นคนที่ชื่นชอบความคลาสสิกอาจจะเลือกเป็นนาฬิกาสแตนเลสสตีล หรือถ้าเป็นหนุ่มรักดีไซน์ชอบความชิลล์ นาฬิกาสายผ้าถักก็สามารถตอบโจทย์ได้เช่นกัน ปิดท้ายที่หนุ่มคลาสสิก ผู้ชื่นชอบในความภูมิฐาน นาฬิกาตัวเรือนทรงกลมสีโรสโกลด์ นับเป็นไอเทมที่ช่วยเสริมความสง่างามให้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าสายหนังสีน้ำตาลคืออีกหนึ่งแมททีเรียลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิก แน่นอนว่าสำหรับหนุ่มที่สวมใส่เรือนเวลานี้จะต้องเป็นคนที่หลงใหลในความเหนือกาลเวลาเป็นอย่างมาก

พบกับเรือนเวลาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์แบรนด์ “มิโด” (MIDO) นาฬิกาดีไซน์หรูคุณภาพมาตรฐานตามแบบฉบับ Swiss made ได้ที่เคาน์เตอร์ “มิโด” (MIDO) เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่เว็บไซต์  www.midowatches.com, LINE Official Account: @midothailand หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 02-610-0299

Leave a Reply

Scroll To Top